35,000.00 บาท
29,900.00 บาท
25,000.00 บาท
19,500.00 บาท
42,000.00 บาท
39,000.00 บาท
49,000.00 บาท
43,500.00 บาท
49,000.00 บาท
42,000.00 บาท
29,000.00 บาท
25,000.00 บาท
ขอบคุณที่มา :: https://www.theiconskin.com
ฝ้ามีลักษณะอย่างไร?
ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม และยังอาจมีสีดำ สีเทา สีน้ำตาลอมเทา หรือ สีม่วงอมน้ำเงิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้า โดยตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อย คือ บริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ เช่น โหนกแก้ม หน้า ผาก จมูก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก
ฝ้ามีสาเหตุจากอะไร?
ตามทฤษฎีเชื่อว่าฝ้าเกิดจากการที่ เซลล์สร้างเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จึงเกิดการสร้างเม็ดสี (Melanin) เพิ่มขึ้น
ฝ้ามีกี่ชนิด?
ฝ้าแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
ฝ้าตื้น (Epidermal type)
เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีและลำเลียงเม็ดสีขึ้นสู่ผิวหนังชั้นบนสุด (ชั้นหนังกำพร้า) จึงทำให้ฝ้าชนิดนี้มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ และ มักมีขอบเขตชัดเจน
ฝ้าลึก (Dermal type)
เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีออกมาอยู่ใต้ต่อชั้นหนังกำพร้า คืออยู่ในชั้นหนังแท้(ผิวหนังชั้นอยู่ใต้หนังกำพร้า) จึงทำให้ฝ้าชนิดนี้มักจะมีสีอ่อนกว่าชนิดฝ้าตื้น โดยอาจมีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทา หรือ สีม่วงอมน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีขอบเขตไม่ชัดเจน โดยมักมีสีกลืนไปกับผิวหนังปกติรอบข้าง
ฝ้าผสม (Mixed type)
คือมีการผสมกันทั้งฝ้าชนิดตื้น และชนิดลึก เป็นชนิดที่พบมากที่สุด ในคนไข้ทั่วไป ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด มักพบในผู้ที่สีผิวเข้มมาก หรือ คล้ำมาก เช่น ในชนชาติแอฟริกัน เป็นต้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้ามีอะไรบ้าง?
แสงแดด
เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็น UVA UVB และแสงที่ตามองเห็น (Visible light) โดยสังเกตได้จากบริเวณที่เกิดฝ้านั้น มักเป็นบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดมากกว่าบริเวณอื่น
ฮอร์โมนเพศ
ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น เช่น ในภาวะตั้ง ครรภ์ วัยหมดประจำเดือนที่ต้องทานยาฮอร์โมน การทานยาคุมกำเนิด หรือ การใช้เครื่องสำอางที่มีฮอร์โมน หรือสารสกัดจากรก มักพบผู้เป็นฝ้าในภาวะดังกล่าวได้บ่อย
เครื่องสำอาง
โดยพบว่าสาเหตุของการเกิดฝ้าจากการใช้เครื่องสำอางนั้น เกิดจากการแพ้เครื่องสำอางเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดการระคายต่อผิว เกิดผิวหนังอักเสบ และรอยดำคล้ายฝ้าตามมา มีรายงานจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า มากกว่า 95% ของผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว มีผื่นผิว หนังอักเสบเกิดขึ้น หลังจากทำการทดสอบสารแพ้ที่ผิวหนัง จึงเป็นการยืนยันเพิ่มเติมว่า การแพ้สารบางอย่างในเครื่องสำอาง สามารถก่อให้เกิดรอยคล้ำคล้ายฝ้าได้
การรักษาฝ้าทำได้อย่างไรบ้าง?
การรักษาฝ้าด้วยยาทา
มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก ในฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาใน 2 เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง ยาทารักษาฝ้านั้นมีดังต่อไปนี้ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าเป็นหลัก โดยยาชนิดนี้จะเป็นตัวลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างเม็ดสี (Tyrosinase) นอกจากนี้ ยังสามารถทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วยยาชนิดนี้ทำให้เกิดการระคายเคืองสูง ผิวอาจแดง แสบ และ ลอกเป็นขุยได้ จึงควรเริ่มทายาในปริมาณน้อยๆ และถ้ามีอาการระคายเคืองมาก อาจใช้ยาสลับเป็นคืนเว้นคืน หรือคืนเว้นสองคืน เป็นต้น กรณีใช้ยาชนิดนี้ความเข้มข้นสูงมากกว่า 2 % เป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดจุดสีดำอมเทาคล้ายฝ้า (Ochronosis) ใต้ผิวหนังได้ การใช้ยาชนิดนี้จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)
ต้องทำด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะสามารถก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป การหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดอย่างเคร่งครัดนั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากหลังการลอกผิวด้วยสารเคมี การลอกผิวด้วยสาร เคมี แบ่งเป็นการลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับตื้น (Superficial Peeling) ซึ่งเหมาะกับฝ้าตื้น เช่น การลอกเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ โดยกรดที่ใช้บ่อย ได้แก่ กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) และ กรดซาลิไซลิก (Sali cylic acid) การลอกทิ้งของเซลล์ผิว ทำให้เซลล์หนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมาก กว่าปกติลอกหลุดจากผิวเร็วขึ้น ฝ้าบริเวณดังกล่าวจึงจางลง การลอกเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้จะใช้ความเข้มข้นสูงกว่าครีมทาผิวที่ผสมกรดผลไม้หลายเท่า การใช้วิธีนี้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง เพื่อลดการเกิดผิวไหม้หรือแผลเป็นถาวร นอกจากนี้ยังอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาได้ในกรณีเข้าตา
การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึก (Deep Peeling)
ซึ่งเหมาะกับฝ้าลึก เช่น การใช้ กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic acid) เนื่องจากเป็นการลอกเซลล์ผิวในระดับลึก จึงต้องใช้ความระมัดระวังและความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการทำ และให้การรักษาโดยแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้อาจพบผลแทรกซ้อนอื่นๆหลังทำ เช่น แผลเป็น รอยดำ หรือการติดเชื้อทั้งแบคทีเรียและไวรัส โดยเฉพาะไวรัสเริม สิ่งที่สำคัญมากหลังการลอกหน้า คือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด และทาครีมกันแดดให้สม่ำ เสมอ กรณีผิวแห้งลอกมาก การทาครีมบำรุงผิวอาจช่วยได้ หากมีอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ใดๆ เกิดขึ้น เช่น บวมมาก ปวดมาก แดงมาก หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่น ควรรีบกลับมาปรึกษาแพทย์เป็นการด่วน
การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)
เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องมีการระมัด ระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมไม่มากนักในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดสูง
การใช้เลเซอร์/แสงในการรักษาฝ้า (Laser/Light Therapy)
เป็นเทคโนโลยีที่ในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านเลเซอร์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเลเซอร์และคลื่นแสงที่ช่วยในการรักษาโรคของเม็ดสี เช่น ฝ้า มักเป็นเลเซอร์กลุ่ม Q-switched Nd: YAG laser, Q-switched ruby laser, Fractional Erbium-glass laser, Fractional Radio Frequency (RF) และคลื่นแสง IPL (Intense pulsed light) เป็นต้น ประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์/แสง คือ ฝ้าจะจางลงเร็วว่าการทายาเพียงลำพัง และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาบางชนิดเป็นเวลานานๆ